ทำไมการอยู่อาศัยในโรงแรมถึงอาจกลายเป็นวิถีชีวิตปกติของเราในปี 2030

Tim Kroeger 5 Dec 2024 Last updated: 6 Jun 2025 1 min read No comments


ลองจินตนาการดูว่า “อพาร์ตเมนต์” ของคุณมาพร้อมกับบริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง คอนเซียร์จพร้อมให้บริการ และสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า ฟังดูเหมือนฝันใช่ไหม? แต่ภายในปี 2030 สิ่งนี้อาจกลายเป็นความจริงสำหรับหลายคน เมื่อโรงแรมพัฒนาไปจากแหล่งพักระยะสั้นสู่ศูนย์กลางครบวงจรสำหรับการอยู่อาศัยระยะยาวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ข้อมูลเชิงลึกจาก McKinsey และทีมผู้บริหารของแบรนด์โรงแรมชั้นนำอย่าง Accor ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า การทำงานแบบยืดหยุ่น และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ กำลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

รายงานระบุว่า 78% ของคนรุ่นมิลเลนเนียล ให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าการเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือบ้าน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่การอยู่อาศัยที่ยืดหยุ่นและเน้นบริการ

คำถามคืออะไรที่เป็นแรงผลักดันของการเปลี่ยนแปลงนี้ และทำไมมันถึงเป็นขั้นตอนที่สมเหตุสมผลสำหรับอนาคตของที่พักอาศัย?

การเปลี่ยนแปลงความหมายของคำว่า “บ้าน”

แนวคิดเรื่อง “บ้าน” ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ที่อยู่เดียวหรือโครงสร้างแบบเดิมอีกต่อไป คนในยุคนี้ต้องการความยืดหยุ่น ความเรียบง่าย และความสามารถในการปรับตัว

ตัวอย่างเช่น การเช่าอพาร์ตเมนต์อาจรู้สึกจำกัดสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศบ่อยครั้ง หรือเดินทางเพื่อทำงานและพักผ่อน โรงแรมจึงกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ด้วยความยืดหยุ่น มีเฟอร์นิเจอร์พร้อมใช้งาน และค่าใช้จ่ายรวมในแพ็กเกจเดียว

ความต้องการนี้สะท้อนให้เห็นในความนิยมของที่อยู่อาศัยแบบร่วมกัน (co-living) ที่พัก Airbnb ศูนย์ทำงานร่วมกันอย่าง WeWork และที่พักแบบสมัครสมาชิก

เทรนด์เหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลและความรู้สึกของผู้บริโภค ตลาดโรงแรม “พักระยะยาว” ทั่วโลกในปี 2024 มีมูลค่ากว่า 22 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 7.4% ต่อปี แตะ 39 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2032

โรงแรมตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

Pullman Dubai Creek City Centre Residences

โรงแรมตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ด้วยการปรับตัวรองรับการพักระยะยาว

เชนโรงแรมใหญ่ๆ อย่าง Marriott และ Accor กำลังทดลองให้บริการสไตล์ที่อยู่อาศัย เช่น ห้องครัวส่วนตัว ห้องซักรีด และพื้นที่ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ

ในปี 2022 Marriott เปิดตัว “Apartments by Marriott Bonvoy” สำหรับผู้พักระยะยาวโดยเฉพาะ ขณะที่ Accor เปิดตัวบริการ “Extended Stay” ในปี 2020 ซึ่งเน้นความสะดวกสบายเหมือนบ้าน

นอกจากนี้ โรงแรมยังเพิ่มพื้นที่ co-working, สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพ และตัวเลือกอาหารที่ปรับแต่งได้ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ยืดหยุ่นและไร้ความเครียด

ความท้าทายและข้อควรพิจารณาของการอยู่อาศัยในโรงแรม

แม้การอยู่อาศัยในโรงแรมเต็มเวลาจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีความท้าทาย เช่น ค่าใช้จ่ายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

โดยรวมค่าใช้จ่ายอาจดูสูงกว่าการอยู่อาศัยแบบดั้งเดิม แต่เมื่อรวมค่าสาธารณูปโภค การบำรุงรักษา เฟอร์นิเจอร์ และบริการทำความสะอาดแล้ว ช่องว่างนี้ก็แคบลงอย่างมาก

ข้อกังวลอีกประการคือความเป็นส่วนตัว เนื่องจากการเข้าถึงพื้นที่พักบ่อยครั้งของพนักงานอาจสร้างความไม่สะดวกใจให้กับบางคน

ความขาดแคลนของการปรับแต่งพื้นที่ส่วนตัวและความเป็นชุมชนที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในโรงแรม อาจทำให้บางคนรู้สึกยากที่จะสร้างความผูกพันหรือรู้สึก “บ้าน” อย่างแท้จริง

เชนโรงแรมจึงพยายามออกแบบบริการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี โดยแก้ไขปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ความเป็นส่วนตัว และความยืดหยุ่น เพื่อสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหลักนี้

ความยั่งยืนและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม

สระว่ายน้ำอินฟินิตี้ที่ Munduk Moding Plantation

โรงแรมมีศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยระบบรวมศูนย์สำหรับการจัดการความร้อน น้ำ และพลังงาน ซึ่งมักมีประสิทธิภาพสูงกว่าบ้านเดี่ยว

การใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และร้านอาหาร ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยรวมของโรงแรม เพราะไม่ต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกซ้ำซ้อนในแต่ละอพาร์ตเมนต์

เช่น โรงแรมที่มีสระว่ายน้ำหรือฟิตเนสเพียงแห่งเดียวให้บริการคนหลายร้อยคนจะใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการมีสิ่งอำนวยความสะดวกในแต่ละที่พัก

หลายเชนโรงแรมใช้พลังงานทดแทนและโครงการลดขยะ เช่น Munduk Moding Plantation ในบาหลี ที่ นำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่และบำบัด เพื่อรดน้ำสวนกาแฟ

Marriott ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกลง 30% ภายในปี 2025 จากระดับปี 2016 ขณะที่ Accor ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงาน การอนุรักษ์น้ำ และการรีไซเคิล

ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับค่านิยมของมิลเลนเนียลและเจนซี ที่เน้นความยั่งยืนและสนับสนุนแบรนด์ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ด้วยการรวมทรัพยากรร่วมและนวัตกรรมสีเขียว โรงแรมจึงมอบความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้พักอาศัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ชีวิตในฝัน: ข้อได้เปรียบของการอยู่อาศัยในโรงแรม

อาหารเช้าระดับกูร์เมต์ที่ Vida Beach Resort Marassi Al Bahrain

การอยู่อาศัยในโรงแรมมอบไลฟ์สไตล์ที่อพาร์ตเมนต์ทั่วไปไม่สามารถเทียบได้ โดยเฉพาะกับมิลเลนเนียลและเจนซีที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกและประสบการณ์มากกว่าการสะสมของใช้

ลองจินตนาการว่า ตื่นขึ้นมาในห้องที่สะอาดหมดจด รับประทานอาหารเช้ากูร์เมต์ และเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียม เช่น สปา หรือสระว่ายน้ำ ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องออกไปไหน

สำหรับคนรุ่นนี้ การอยู่อาศัยในโรงแรมไม่ใช่แค่เรื่องของความหรูหรา แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ด้วยการตัดเรื่องยุ่งยากในชีวิตประจำวัน เช่น การทำความสะอาด การซ่อมบำรุง หรือการทำอาหาร ออกไป ทำให้ผู้พักมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับเป้าหมายการงาน การท่องเที่ยว หรือการหากิจกรรมใหม่ๆ

และไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบาย โรงแรมกำลังนิยามใหม่เรื่องชุมชนด้วยกิจกรรมอย่างการพบปะเครือข่าย การชิมไวน์ และคลาสโยคะ สร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีชีวิตชีวาและโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

การเพิ่มขึ้นของ “การอยู่อาศัยแบบสมัครสมาชิก”

อีกหนึ่งเทรนด์ในวงการโรงแรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วคือ “การอยู่อาศัยแบบสมัครสมาชิก” ซึ่งให้ผู้พักจ่ายค่าบริการรายเดือนแบบเหมาจ่าย รวมที่พัก อาหาร ค่าสาธารณูปโภค และสิทธิ์การใช้สิ่งอำนวยความสะดวก

สิ่งนี้ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นอย่างสูง ผู้พักสามารถเปลี่ยนที่พักในเครือโรงแรมเดียวกันได้อย่างง่ายดาย เช่น พักเดือนหนึ่งที่เบอร์ลิน และอีกเดือนที่ดูไบ โดยจัดการงบประมาณแบบรวมทุกอย่างในงบเดียว

สำหรับนักเดินทางบ่อยและคนทำงานระยะไกล ความอิสระนี้เปลี่ยนชีวิตได้จริง

บ้านคือที่ที่โรงแรมอยู่

เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น โรงแรมจึงผสานความสะดวกสบายเหมือนบ้านกับบริการระดับพรีเมียม สร้างยุคใหม่ของการอยู่อาศัย

โปรแกรม “Extended Stay” ของ Accor มีห้องพักขนาดใหญ่พร้อมครัว พื้นที่ทำงาน และแพ็กเกจที่ปรับให้เหมาะสม

ตามที่ Jack Levy ที่ปรึกษาด้านโรงแรมอาวุโสจาก CBRE กล่าว เชนโรงแรมเพิ่มพอร์ตโฟลิโอที่พักระยะยาวขึ้นกว่า 50% ระหว่างปี 2013 ถึง 2023 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 7.1% ต่อปี พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

สรุป: อนาคตของการอยู่อาศัยจะนิยามคำว่า “บ้าน” ใหม่

เมื่อโรงแรมปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลง ความหมายของคำว่า “บ้าน” ก็เปลี่ยนไปด้วย

ไม่ใช่แค่ที่พักระยะสั้นอีกต่อไป อุตสาหกรรมการต้อนรับกำลังนำเสนอทางเลือกการอยู่อาศัยระยะยาวที่ผสมผสานความสะดวกสบาย ชุมชน และความยั่งยืน สร้างพื้นที่ที่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้บริโภครุ่นใหม่

จากมิลเลนเนียลและเจนซีที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าทรัพย์สิน ไปจนถึงคนทำงานระยะไกลที่มองหาความยืดหยุ่น การอยู่อาศัยในโรงแรมไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่มันคือการนิยามใหม่ของวิถีชีวิตและการทำงาน

ด้วยการให้บริการที่ปรับตามความต้องการ แพ็กเกจครบวงจร และโอกาสในการสร้างเครือข่าย โรงแรมกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตยุคใหม่

ความท้าทายอย่างเรื่องค่าใช้จ่ายและความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องจริง แต่กำลังได้รับการแก้ไขด้วยนวัตกรรม เช่น โมเดลสมัครสมาชิกและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้พัก การอยู่อาศัยในรูปแบบนี้มอบอิสระในการโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในอาชีพ การเดินทาง หรือการพัฒนาตนเอง โดยไม่ต้องแบกรับภาระของการเป็นเจ้าของบ้านแบบเดิม

เมื่อใกล้ถึงปี 2030 การอยู่อาศัยในโรงแรมไม่ได้เป็นแค่ภาพฝันอีกต่อไป แต่มันเกิดขึ้นแล้ว

ด้วยผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง Marriott, Accor และ Selina การอยู่อาศัยที่ยืดหยุ่น เน้นประสบการณ์ และใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน สำหรับหลายคน ถึงเวลาที่จะคิดใหม่ว่าบ้านคืออะไร — ไม่ใช่แค่ที่อยู่ แต่คือวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยอิสระ ตัวเลือก และโอกาสไม่สิ้นสุด

5/5 – (1 vote)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *